โครงสร้างที่จะประกอบกันมาเป็นส่วนของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้น ก็จะประกอบไปด้วย เครื่อง
คอมพิวเตอรหลัก ( Server ) เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย ( Client ) และอุปกรณ์ในการเชื่อมต่อ ( Network
Device)
เครื่องคอมพิวเตอร์หลัก (Server)
- หมายถึง คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น Web Server ,FTP Server
,File Server Mail Server , Printer Server
- การบริการอาจจะบริการให้แก่ Client ,Workstation หรือ Server ด้วยกัน
- บน Server จะมี NOS ( Network Operating System ) ติดตั้งไว้พร้อมกับ Application
ต่าง ๆเพื่อให้บริการแก่เครื่องอื่น ๆ
- การทำงานอาจจะเป็นการให้บริการแต่เพียงอย่างเดียวหรือทำงานในลักษณะ Peer To Peer
ซึ่งเป็นได้ทั้ง Server หรือ Client ก็ได้
- โดยทั่วไปจะเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็ว หน่วยความจำ ความจุของ
ฮาร์ดดิสก์และความสามารถในการทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ มีความเสถียรภาพ( Stable) เชื่อถือได้
เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Client , Workstation)
- หมายถึง คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นสถานีงาน หรือลูกข่ายเพื่อไปขอรับบริการอย่างใดอย่างหนึ่ง
จาก Server
- คอมพิวเตอร์ทั่ว ๆ ไปและเป็นเครื่องส่วนใหญ่ที่ต่ออยู่บน Network
อุปกรณ์ในการเชื่อมการติดต่อสื่อสาร
เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ก็มีอุปกรณ์
อย่างเช่นสายสัญญาณข้อมูล ( Network Cable ) แผงวงจรรับส่งสัญญาณจากสายสัญญาณ ( Network
Adapter ) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เป็นช่องทางเดินของข้อมูล
แผงวงจรเครือข่าย(Network Interface Card)
- Network Interface : NIC หรือ Adapter
- สำหรับติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนเครือข่าย ต้องติดแผงวจรนี้เพื่อทำการเปลี่ยน
ข้อมูลดิจิตอลให้อยู่ในรูปสัญญาณอนุกรมดิจิตอล แล้วส่งผ่านตามสื่อ ( Media ) เมื่อถึงปลายทาง Adapter
อีกตัวจะทำการเปลี่ยนสัญญาณดิจิตอลกลับเป็นข้อมูลเหมือนเดิม
- Driver
- ทำหน้าที่ประสานการทำงานระหว่างระบบปฏิบัติการและ Adapter
- NDIS : Network Driver Interface Specification
- ODI : Open Device Interface
- ทั้ง NDIS และ ODI เป็นข้อตกลงที่จะกำหนดคุณสมบัติของDriver และAdapter เพื่อให้สามารถ
ทำงานเข้ากันได้กับทุก OS และทุกเครื่อง
- Driver เป็น Software เล็ก ๆ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพของการส่งผ่านข้อมูลเพราะ Driver จะรวมเอาความสามารถสูงสุดที่มีเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นการใช้ buffer การเคลื่อน ย้ายข้อมูล การเคลื่อน
ย้ายบิตต่าง ๆ
- ตัวเลือก I/O Address , IRQ
- Option เสริมเช่น Boot ROM , Jumper , Dip Switch
- PCMCIA ( Personal Computer Memory Card International Association )สำหรับ
Notebook ,Laptop
รูปแบบของการเชื่อมโยงเครื่อข่าย หรือโทโปโลยี( Lan Topology)
โทโปโลยีคือลักษณะทางกายภาพ ( ภายนอก ) ของระบบเครือข่าย ซึ่งหมายถึง ลักษณะของการเชื่อมโยงสายสื่อ
สารเข้ากับอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ภายในเครือข่ายด้วยกันนั่นเอง โทโปโลยีของเครือข่าย Lan แต่ละ
แบบมีความเหมาะสมในการใช้งาน แตกต่างกันออกไป การนำไปใช้จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำการศึกษาลักษณะและ
คุณสมบัติข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแต่ละแบบเพื่อนำไปใช้ในการออกแบบพิจารณาเครือข่าย ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
รูปแบบของโทโปโลยี ของเครือข่ายหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้
โทโปโลยีแบบบัส : Bus Topology
เป็นรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกเชื่อมต่อกันโดยผ่ายสายสัญญาณแกนหลัก
ที่เรียกว่า BUS หรือ แบ็คโบน ( Backbone) คือ สายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก ใช ้
้เป็นทาง เดินข้อมูล ของทุกเครื่องภายในระบบเครือข่าย ละจะมีสายแยกย่อยออกไปใน
แต่ละจุด เพื่อเชื่อมต่อเข้า กับ คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ซึ่งเรียกว่าโหนด ( Node )
ข้อมูลจากโหนด ผู้ส่งจะ ถูกส่งเข้าสู่สายบัสในรูปของแพ็กเกจ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจจะ
ประกอบไปด้วยข้อมู ของผู้ส่ง , ผู้รับ และ ข้อมูลที่จะส่ง การสื่อสารภายในสายบัสจะ
เป็นแบบ 2ทิศทางแยกไปยังปลายทั้ง 2ด้านของบัส โดย ตรงปลาย ทั้ง 2 ด้านของบัส
จะมีเทอร์มิเนเตอร์ ( Terminator ) ทำหน้าที่ลบล้าง สัญญาณที่ส่งมาถึงเพื่อป้องกัน
ไม่ให้สัญญาณข้อมูลนั้นสะท้อนกลับเข้ามายังบัสอีกเพื่อเป็น การป้องกันการ ชนกันของ
ข้อมูลอื่น ๆ ที่เดินทางอยู่บนบัสในขณะนั้น สัญญาณข้อมูลจากโหนด ส่งเมื่อเข้าสู่บัส
ข้อมูลจะไหลผ่านไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของบัส แต่ละโหนดที่เชื่อมต่อเข้ากับบัส จะ
คอยตรวจดูว่า ตำแหน่งปลายทางที่มากับแพ็กเกจข้อมูลนั้นตรง กับตำแหน่งของตน
หรือไม่ ถ้าตรง ก็จะรับข้อมูลนั้น เข้ามาสู่โหนดตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยให้สัญญาณ
ข้อมูลนั้นผ่านไปจะเห็น ว่าทุก ๆ โหนดภาย ในเครือข่ายแบบ BUS นั้นสามารถรับรู้
สัญญาณข้อมูลได้แต่จะมีเพียงโหนด ปลายทางเพียง โหนด เดียวเท่านั้นที่จะรับข้อมูล
นั้นไปได้
ข้อดี : 1. ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการวางสายเคเบิลมากนัก
2. สามารถขยายระบบได้ง่าย
3. เสียค่าใช้จ่ายน้อย
ข้อเสีย : 1. อาจเกิดข้อผิดพลาดง่าย เนื่องจากทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อยู่บนสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว ดังนั้น
หากมีการขาด ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ก็จะทำให้เครื่องอื่นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในระบบไม่สามารถใช้งานได้ตามไปด้วย
2. การตรวจหาโหนดเสียทำได้ยาก เนื่องจากขณะใดขณะหนึ่งจะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว เท่านั้น
ที่สามารถส่งข้อความออกมาบนสายสัญญาณ ดังนั้นถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากๆ อาจทำให้เกิดการคับคั่งของเน็ตเวิร์ก
ซึ่งจะทำให้ระบบช้าลงได้
โทโปโลยีแบบวงแหวน : Ring Topology
เป็นรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ในระบบเครือข่ายทั้งเครื่องที่เป็นผู้ให้
บริการ(Server)และเครื่องที่เป็นผู้ขอใช้บริการ ( Client) ทุกเครื่องถูกเชื่อมต่อกัน
เป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารที่ส่งระหว่างกัน จะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปใน ทิศทาง
เดียวกัน โดยไม่มีจุดปลายหรือเทอร์มิเนเตอร์เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ในแต่
ละโหนดหรือแต่ละเครื่อง จะมีรีพีตเตอร์ ( Repeater ) ประจำแต่ละเครื่อง 1 ตัว
ซึ่งจะ ทำหน้าที่เพิ่มเติมข้อมูลที่จำเป็นต่อการติดต่อสื่อสารเข้าในส่วนหัวของ แพ็กเกจ
ที่ส่งและตรวจสอบข้อมูลจากส่วนหัวของ Packet ที่ส่งมาถึง ว่าเป็นข้อมูลของตน
หรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยัง Repeater ของเครื่องถัดไป
ข้อดี
1. ผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลไปยังผู้รับได้หลาย ๆ เครื่องพร้อม ๆ กัน โดยกำหนดตำแหน่งปลายทางเหล่านั้นลง
ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล Repeater ของแต่ละเครื่องจะทำการตรวจสอบเองว่าข้อมูลที่ส่งมาให้นั้น
เป็นตนเองหรือไม่
2. การส่งผ่านข้อมูลในเครือข่ายแบบ RING จะเป็นไปในทิศทางเดียวจากเครื่องสู่เครื่องจึงไม่มีการชน
กันของสัญญาณข้อมูลที่ส่งออกไป
3. คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเน็ตเวิร์กมีโอกาส ที่จะส่งข้อมูลได้อย่างทัดเทียมกัน
ข้อเสีย
1. ถ้ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังเครื่องต่อ ๆ ไปได้ และจะทำ
ให้เครือข่ายทั้งเครือข่าย หยุดชะงักได้
2. ขณะที่ข้อมูลถูกส่งผ่านแต่ละเครื่องเวลาส่วนหนึ่งจะสูญเสียไปกับการที่ทุกๆ Repeater จะต้องทำการ
ตรวจสอบตำแหน่งปลายทางของข้อมูลนั้น ๆ ทุก ข้อมูลที่ส่งผ่านมาถึง
โทโปโลยีแบบดาว : Star Topology
เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
ที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่าย จะต้องเชื่อมต่อ
กับอุปกรณ์ ตัวกลางตัวหนึ่งที่เรียกว่า ฮับ ( HUB ) หรือเครื่อง ๆ หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็น่ศูนย์ กลางของ
การเชื่อมต่อสายสัญญาณที่มาจาก เครื่องต่าง ๆ ใน
เครือข่าย ละควบคุมเส้นทางการ สื่อสารทั้งหมด
เมื่อมีเครื่องที่ต้องการส่งข้อมูลไปยังเครื่องอื่น ๆที่
ต้องการ ในเครือข่ายเครื่องนั้นก็จะต้องส่งข้อมูลมา
ยัง HUB หรือเครื่องศูนย์กลางก่อน HUB ก็จะ
ทำหน้าที่กระจายข้อมูลนั้นไปในเครือข่ายต่อไป
ข้อดี
การติดตั้งเครือข่ายและ การดูแลรักษาทำได้ง่าย หากมีเครื่องใดเกิดความเสียหาย ก็สามารถตรวจสอบ
ได้ง่าย และ ศูนย์กลางสามารถตัดเครื่องที่เสียหายนั้นออกจากการสื่อสาร ในเครือข่ายได้เลยโดยไม่มี
ผลกระทบกับระบบเครือข่าย
ข้อเสีย
เสียค่าใช้จ่ายมาก ทั้งในด้านของเครื่องที่จะใช้เป็น เครื่องศูนย์กลาง หรือตัว HUB เอง และค่าใช้จ่าย
ในการติดตั้ง สายเคเบิลในเครื่องอื่น ๆ ทุกเครื่องการขยายระบบให้ใหญ่ขึ้นทำได้ยากเพราะการขยาย
แต่ละครั้งจะต้องเกี่ยวเนื่องกับเครื่องอื่นๆ ทั้งระบบ
โทโปโลยีแบบ Hybrid : Hybrid Topology
เป็นรูปแบบใหม่ ที่เกิดจากการผสมผสานกันของโทโปโลยีแบบ STAR , BUS , RING เข้าด้วยกัน เพื่อเป็นการลดข้อเสียของรูปแบบที่กล่าวมา และเพิ่มข้อดี ขึ้นมา มักจะนำมาใช้กับระบบ WAN ( Wide Area Network) มากซึ่งการเชื่อมต่อกันของแต่ละรูปแบบนั้น ต้องใช้ตัวเชื่อมสัญญาณเข้ามาเป็นตัวเชื่อม ตัวนั้นก็คือRouter
เป็นตัวเชื่อมการติดต่อกัน
โทโปโลยีแบบ Mesh : Mesh Topology
เป็นรูปแบบที่ถือว่า สามารถป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบได้ดีที่สุด เป็นรูปแบบที่ใช้วิธี
การเดินสายของแต่เครื่อง ไปเชื่อมการติดต่อกับทุกเครื่องในระบบเครือข่าย คือเครื่องทุกเครื่องในระบบ เครือข่ายนี้
ต้องมีสายไปเชื่อมกับทุก ๆ เครื่อง ระบบนี้ยากต่อการเดินสายและมีราคาแพง จึงมีค่อยมีผู้นิยมมากนัก